จริต ๖ ความประพฤติ พื้นเพนิสัยของจิตของแต่ละคนที่หนักไปด้านหนึ่งด้านใด ภาวะกรรมมันสามารถเบี่ยงเบนได้ เบี่ยงเบนได้ อย่างหนึ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมพัฒนาขึ้นหรือไม่พัฒนาขึ้นก็เช่นเดียวกัน ดูจากอารมณ์ความรู้สึก อาตมาพูดเสมอทุกที่ บอกโยมว่าเราติดคำว่าจริตจะก้าน จริต อาตมาบอกว่าพิชิตเสียห้ารักษาไว้หนึ่ง จะพึงดีมีสุข โยมจะปฏิบัติแบบไหน จริตแบบไหน ถึงจะถูกกับโยมไม่ใช่ จริตทั้งหกฆ่าเสียห้ารักษาไว้หนึ่งจะพึงสุข ๑. ราคะจริต ติดตลอดชาติ จะไปไหนมาไหนต้องเสริมสวย แล้วบางทีรีบแล้ววางกระจุกเลย นั่นราคะจริตเกิดขึ้น มันดีไหมมันก็ไม่ได้ ถ้ามันไม่ดี มันวุ่นวายทำไมไม่ตัดทิ้งไป เอาออกไปเสียจากใจเรา แล้วเราก็จะเบาใจ แต่ถ้าเอาไว้ในใจเรามันก็จะหนักใจ เดินทางไปไหนมาไหนโอ้โฮเครื่องสำอางมากกว่าเสื้อผ้าที่จะใส่ บางทีเครื่องสำอางแพงกว่าอาหารที่จะรับประทาน มันจึงเกิดความรุงรัง เราต้องตัดปลิโพธฉะนั้นต้องละเสีย การมาบวชคือละเว้นเสียชั่วระยะหนึ่ง ถ้าสวยจริงๆมันสวยมาจากข้างในแล้วจะสวยไม่สร่าง ถ้าสวยข้างนอกสวยแล้วมันก็สร่างคนโบราณเขากล่าวไว้ว่า คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน ไม่ใช่ทาตาซะฉ่ำเลย คนจะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คนจะรวยรวยศีลทานใช่บ้านโต ฟังดูแล้วลึกซึ้งคนโบราณเขาสอนลูกหลาน ฟังแล้วไพเราะ ภาวะจิตของเราเหมือนกัน ๒.โทสจริต หนักไปทางใจร้อน ขี้โมโห หงุดหงิด พอเรามีโทสะเป็นเจ้าเรือนอย่ประจำ พอเราปฏิบัติธรรมไปแล้วใจมัน เปลี่ยน มันเบาลงจิตใจมันเย็นลง นั่นคือมันพัฒนาได้แล้วทางอารมณ์ พระพุทธเจ้าท่าน มุ่งมั่นพัฒนาทางอารมณ์ จนไม่มีอารมณ์นั่นเกิดขึ้นอีกกับใจ สลัดสละให้หลุดไป อันนี้โทสจริตเกิดขึ้นที่ไหนไม่ว่าจะอยู่กับใครก็ตามนั้นไม่มีความสุขทั้งชาติ อะไรเกิดขึ้นนิดหน่อย โทสะเป็นตัวผลักดันให้เรามาเกิดด้วยเกิดมาชาติหน้าเจอหน้าโกรธมันเลย บางทีเกิดมาเป็นสามีภรรยากันทะเลาะกันทั้งวันทั้งคืน ยกเว้นเวลาเดียวเท่านั้นแหละ มันเกิดขึ้นแล้วมันทำลายความสุข ทำลายความสงบ ทำลายมิตรภาพ นี่โทสจริต มีไว้ที่ใครผู้นั้นทุกข์เหมือนตกนรก วุ่นวายจุกจิก สารพัด ฉะนั้นเอามันออกเสียไปจากใจ อย่าให้มันมาไว้ที่ใจ ถ้ามันมาไว้ที่ใจมันก็หนักใจ ทุกข์ใจ นะโทสะใครมีใครอยากเอาไว้ก็เอาไว้ อาตมาบอกให้เอาออกไป ทุกข์เดือดร้อนขัดแย้งกันทะเลาะกันก็เพราะโทสะ ไม่มีเหตุและก็ไม่มีผล ถึงเหตุผลก็เหตุผลเพื่อตนเอง กูถูกคนเดียวคนอื่นผิดหมด นั่นไม่ใช่วิธีการ นั่นเขาเรียกว่ามีโทสจริตเป็นเจ้าเรือน ๓.โมหจริต ความหลงงมงาย ไม่ใช่หลงธรรมดา หลงงมงายโมหะจริตคิดว่าเรานี่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ มันก็ไม่มีความสามารถที่จะตรวจสอบตนเองได้ เมื่อไม่สามารถตรวจสอบอารมณ์ภาวะจิตของตนเองได้ ก็จะไม่รับรู้สิ่งอื่นภายนอกได้ ก็ทำให้เราถลำไม่มีใครที่จะชี้บอกทั้งราคะ ทั้งโทสะ ทั้งหมด ไม่มีใครที่จะไปชี้ ไม่มีใครจะไปเตือนเพราะไม่มีใครเขาอยากยุ่ง มันจะทำเรามืดปัญญาไม่เกิด (มีต่อวันพรุ่งนี้ครับ) โอวาทธรรม พระครูปทุมภาวนาจารย์ (หลวงพ่อวีระนนท์ วีรนนฺโท) จากหนังสือ “หัวใจของกรรมฐาน” หน้า ๙๗ – ๙๘ สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.watpacharoenrat.org/home/medial.php?prid=17